Thursday, 30 March 2023

เจ้าของบ้าน ซ้อมคนขโมยกัญชา ช้ำในตาย ตำรวจไม่จับ อ้างมีสิทธิ์ปกป้องทรัพย์สิน

ลุงย่อง ลักกัญชาเพื่อนบ้าน โดนกระทืบ ช้ำในตาย ตำรวจไม่ทำคดี อ้างเข้าไปลักขโมยของบ้านคนอื่น เจ้าของบ้าน สามารถปกป้องเงินทองได้

(6 ธันวาคม65) เมื่อเวลา 17.00 น. นางวรรณา อายุ 55 ปี ชาวบ้านพรเจริญ อ. วังสามหมอ จ. อุดรธานี พร้อมด้วยญาติ รวม 7 คนเข้าพบ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณี นายคำดี อายุ 49 ปี น้องชายเข้าไปลักขโมยกัญชา ของเพื่อนบ้าน ถูกเจ้าของบ้านจับได้ และก็ ตบตีจนได้รับบาดเจ็บหนักมาก

2 ช้ำในตาย

นางวรรณา เล่าว่า เหตุการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นเมื่อขณะประมาณ 22.00 น. ของคืนวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน 2565

นายคำดี เป็นพ่อม่าย มีลูกชายอายุ 18 ปี 1 คน อาศัยอยู่กระท่อมนาของตัวเอง ตนยอมรับว่า นายคำดี เป็นคนเสพกัญชา ตั้งแต่วัยรุ่น ได้เข้าไปลักขโมยต้นกัญชา ของเพื่อนบ้านจริง และก็ ถูกเจ้าของบ้านจับได้ และก็ ถูกรุมทำร้ายร่างกาย ซึ่งนายคำดี พยายามที่จะคลานออกมาข้างนอกบ้าน แต่ เจ้าของบ้านก็ตามมา กระทืบซ้ำหลายครั้ง จนนายคำดีนิ่งแน่ไป

ซึ่งหลังจากนั้น มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และก็ ผู้ใหญ่บ้าน มาระงับเหตุ และก็ คุมตัวนายคำดี ไปที่ โรงพักภูธรวังสามหมอ โดนแจ้งข้อหาทะเลาะวิวาท และก็ จับนายคำดีติดตะรางเป็นเวลา 1 คืน ก่อนที่จะเทียบปรับ 500 บาท และก็ ปล่อยตัวในวันที่ 16 เดือนพฤศจิกายน

หลังจากถูกปล่อยตัว นายคำดี ได้กลับมาที่บ้าน หลังจากนั้น มาก็นอนซมอยู่ที่บ้าน มาตลอด ไม่ออกจากบ้าน เพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก และก็ กินข้าวปลาของกินมิได้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด แต่ญาติไม่รู้ เพราะ นายคำดี มิได้ออกจากบ้าน จนถึง วันที่ 23 เดือนพฤศจิกายน มีเพื่อนบ้านมาบอกว่า นายคำดีอาการไม่ดี ญาติก็เลยพากันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังสามหมอ นอนพักรักษาตัวอยู่ประมาณ 3 – 4 วัน

แล้วต่อจากนั้นก็กลับบ้านวันที่ 27 เดือนพฤศจิกายน เพราะ นายคำดี ปฎิเสธการรักษา ไม่ต้องการให้หมอ สอดสายยางให้อาหารทางจมูก ซึ่งตอนนั้นแพทย์มิได้รับข้อมูล ว่า นายคำดี ถูกทำร้ายร่างกายมา จนถึงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. และก็ กระทำการการปลงศพวันที่ 2 ธ.ค.

หลังจาก นายคำดี เข้าไปลักขโมยกัญชา แล้วโดนเจ้าของบ้านซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) จนกระทั่งบาดเจ็บหนักมาก และก็ ไปนอนรักษาตัวที่บ้าน นานกว่า 2 สัปดาห์ ไม่สามารถเดิน หรือ ทานอาหารได้ หลังแล้วต่อจากนั้นก็เสียชีวิต

แต่พอไปแจ้งตำรวจ กลับไม่ทำคดีให้ โดยอ้างว่า นายคำดี เข้าไปลักขโมยของที่บ้านของคนอื่น ด้วยเหตุนี้เจ้าของบ้าน ก็เลยสามารถปกป้องเงินทองของตัวเองได้

และก็ มีหลักฐานจากภาพวงจรปิด ตอนที่ นายคำดี ไปลักขโมยกัญชาก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา ซึ่งพวกตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะ นายคำดี ไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาก่อน อีกทั้งหลังจากที่ถูกซ้อม (ทำร้ายร่างกาย) มา ก็เกิดลักษณะของการเจ็บป่วยไข้จนเสียชีวิต

ก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา พวกตนเคยไปพบคู่พิพาทแล้ว แต่ตกลงกันมิได้ ก็เลยไปพบตำรวจ เพื่อจะฟ้องร้องฟ้องร้องคดี กับคนประทุษร้าย นายคำดี ตำรวจก็กล่าวขู่ข้างของตัวเอง จนนำมาซึ่งความหวาดกลัว และก็ ไม่กล้าที่จะฟ้องร้อง

3 ช้ำในตาย

จากเหตุการณ์ เจ้าของบ้าน ซ้อมคนลักขโมยกัญชาจน ช้ำในตาย

นางวรรณา ยังเล่าอีกว่า ตั้งแต่ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ คู่ความ ไม่เคยมาเยี่ยม ถามไถ่ หรือ ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรเลย ตำรวจติดต่อไปเพื่อจะมาไกล่เกลี่ย ก็ไม่ยอมมา จนถึง นายคำดี เสียชีวิตไป

คู่กรณียังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าหากอยากได้เงินก็ไปฟ้องร้องเอา เพราะจะฟ้องร้องกลับ ที่มาลักขโมยต้นกัญชา ราคาเป็นแสนด้วย ซึ่งหลังจากที่ นายคำดี เสียชีวิตแล้ว ได้พยายามที่จะไปติดต่อกับตำรวจ แต่ตำรวจกลับบอกว่า พวกตนผิด

เนื่องจากว่าไปลักทรัพย์ในยามวิกาล ซึ่งตอนนั้น ตนเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ยอมรับว่าผู้เสียชีวิตไปลักทรัพย์จริง และก็ ไม่มีวิถีทางช่วยเหลือ อกน้อยใจตำรวจ

อ้างแต่เพียงว่า พวกตนผิดทุกอย่าง ผู้ตายทั้งคน ซึ่งตำรวจก็ยังการันตีว่าข้างตนผิด ซึ่งตนคิดว่า ทำไมฆ่าคนตายทั้งคน กลับปราศจากความผิด ทำไมตำรวจไม่ให้ความช่วยเหลือ ก็เลยมาร้องขอความยุติธรรม กับผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี

ด้าน พล.ต.ต.พิษณู อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อดรธานี กล่าวมาว่า พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งตอนนี้ พึ่งได้รับฟังฝ่ายเดียว แต่จากข้อมูลที่ได้รับฟังมั่นใจว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหา คู่กรณีได้ คือ ฆ่าคนอื่นโดยไม่ได้เจตนา หรือ กระทำการโดยประมาท ส่งผลให้คนอื่นถึงแก่กรรม

จะสั่งให้พนักงานที่ทำหน้าที่ในการสอบสวน สภ.วังสามหมอ รีบดำเนินการไต่สวน สักขีพยาน ทั้งสองฝ่าย

และก็ แม้ญาติผู้เสียชีวิตมั่นใจว่า มีสักขีพยานอื่น หรือหลักฐานอื่น ก็นำมาให้ตำรวจ นอกจากนั้นผลวิเคราะห์การตายของหมอ ก็เป็นหลักฐาน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องไปสอบสวนคำให้การ จากหมอที่ทำการรักษา ขอรับรองว่าตำรวจจำเป็นที่จะต้องรับฟ้องร้องแน่ๆ และก็ ให้ทั้งสองฝ่าย ไปพิสูจน์ความจริงกันบนศาล